วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเลี้ยงลูกแมวเปอร์เซีย



การเลี้ยง ลูกแมวเปอร์เซีย การที่แม่แมวเปอร์เซียร์ไม่เลี้ยงหรือไม่สามารถเลี้ยงลูกแมวเปอร์เซียหรือ
ลูกแมวเปอร์เซียกำพร้าแม่ มันมีความจำเป็นจะต้องมีตารางการให้อาหารที่เหมาะสม การขับถ่าย การเล่นและ
การนอนหลับต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ดังนั้นการเลี้ยงดูลูกแมวเปอร์เซียที่ดีต้องคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
1. โภชนาการและการหย่านม
2. สุขอนามัย 
3.อุณภูมิและความชื้น 
4.การป้องกันโรค
5.การบำรุงและทำให้เข้ากับสังคม
ลูกแมวเปอร์เซีย ที่สุขภาพดีจะมีร่างกายที่จ้ำม่ำแข็งแรง มีชีวิตชีวา หลับนาน ร้องเก่งเมื่อหิว เมื่อถูกกระตุ้นโดยการเลียของ แม่แมว มันจะพยายามส่ายหัวหาเต้านมแม่พร้อมทั้งมีขาหน้าและขาหลังที่แข็งแรงในการพยุงตัวเพื่อยึดที่ในการดูดนมแม่ ลูกแมวเปอร์เซียร์ ที่สุขภาพไม่ดีจะมีกล้ามเนื้อที่ไม่สมบูรณ์ ร้องบ่อยถ้าไม่ช่วยเหลือ อ่อนแอ ซึมเศร้า เฉื่อยชาไม่ยอมกินนมเองหรือพยายามกินแต่ก็ปล่อยหัวนมอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อพยายามช่วยจับหัวไปจ่อที่หัวนมแม่แมวเข้ากับปากลูกแมว มันไม่สนองตอบถ้าไม่หาวิธีป้อนนมผ่านสายเข้ากระเพาะ แน่นอนมันก็ค่อยๆเหี่ยวเฉาตายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือ 2-3 วัน
การให้อาหารและการหย่านม ลูก แมวเปอร์เซียจำเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับน้ำนมน้ำเหลืองใน 12 ชั่วโมงแรกหลังจากคลอด ลูกแมวเปอร์เซียร์ จะดูดซึม ภูมิคุ้มกันจากน้ำนมน้ำเหลืองได้ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกนับจากคลอด ถ้าลูกแมวเปอร์เซีย ยัง ไม่ยอมดูดนมเอง ให้พยายามจับหัว ลูกแมวเปอร์เซีย จ่อที่หัวนมแม่ แมวเปร์เซีย ปรกติแล้วมันจะฝืนพอสมควรแต่ในที่สุดแล้วมันก็จะสามารถดูดนมได้เอง ผู้เลี้ยงต้องเฝ้าดูอย่างระมัดระวังในช่วงเวลานี้จนกว่าเขาจะสามารถดูดนมได้เอง ในกรณีที่ แม่แมวเปอร์เซียร์ ไม่สามารถเลี้ยงดูลูก แมวเปอร์เซีย ได้ ลูกแมวเปอร์เซีย ต้องดูดนมจากขวดหรือหลอดหยด ตามแต่จะหาได้ การให้อาหารแบบหลอดแก่ ลูกแมวเปอร์เซีย ผู้ให้ต้องได้รับการฝึกอย่างดี เพราะอาหาร อาจเข้าสู่ปอด อย่างไม่ตั้งใจทำให้หมดสติ การให้อาหารแบบหลอดจึงเสี่ยงมาก อนุญาตให้ ใช้เฉพาะในลูก แมวเปอร์เซีย อ่อนแอซึ่งต้องอยู่ภายใต้การแนะนำของแพทย์ หลอดป้อนนม จะเป็นสายยางยาวๆ ที่ปลายจะเป็นหลอดฉีดสำหรับใช้ดูดนมขึ้นมาเก็บการกะระยะความยาว ของหลอดควรวัดจากปากไปจนถึงกลางลำตัวซึ่งเป็นตำแหน่งของกระเพาะอาหารพอดี ปรกติ ลูกแมวเปอร์เซีย ที่อ่อนแอถ้าได้น้ำนมทางหลอดซักครั้งแล้วพยายามจับให้ดูดนมแม่ด้วยแล้ว มันจะกลับมาแข็งแรงได้ หลังจากให้นมลูก แมวเปอร์เซีย ควรลูบหลังลูกแมวเปอร์เซียให้เรอ ระหว่างให้อาหารและหลังอาหาร โดยนำมันผาดไหล่ ให้ตัวตั้งตรงและตบหลังเบาๆ การให้น้ำ นมจากขวดหรือหลอดต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการปอดบวมหรือการสำลักน้ำนมได้ ที่สำคัญผู้เลี้ยงอย่าดีใจมากว่าลูกแมวดูดนมจากขวดหรือจากการป้อนได้ เพราะจากประสบการณ์ที่เจอมาโดยให้คนเลี้ยง เมื่อเห็นว่าลูกแมวดูดนมได้ก็ป้อนเข้าไปบ่อยๆจนท้องป่องปรากฎว่าไม่นานลูกแมวก็เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อถึงกินยาลดอาการท้องอืดก็ช่วยอะไรได้ไม่มากแล้วมันก็ร้องด้วยความเจ็บปวดถ้าช่วยไม่ทันก็ตายไปในอีกไม่ช้า เพราะฉะนั้นการป้อนนมต้องป้อนแบบระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
ลูกแมวเปอร์เซีย ต้องให้แสงไฟตอนคลอดใหม่ๆหรือไม่ ก็ไม่เสมอไปที่จะต้องเอาหลอดไฟทำให้ร่างกายลูกแมวอบอุ่น เพราะว่าแม่แมวเปอร์เซียเองก็มีขนและอุณภูมิของร่างกายที่ทำให้ลูกแมวอบอุ่นได้ แม่แมวบางตัวจะพยายามนอนขดตัวเพื่อให้ลูกอบอุ่นที่สุด แต่ถ้าอากาศหนาวมากๆก็อาจจะจัดหลอดไฟ 60 แรงเทียนช่วยความอบอุ่นประมาณสัก 3-4 วันก็ได้ แต่ต้องระวังเรื่องไฟไหม้หรือช๊อตด้วย หลอดไฟมันก็ช่วยลูกแมวได้ในกรณีที่แม่แมวลุกไปทำธุระเช่นไปขับถ่ายหรือกินอาหาร ลูกแมวก็จะขาดความอบอุ่น ถ้ามีกันหลายๆตัวก็จะคลานมาขอดเกยกัน แต่ถ้ามีตัวเดียวก็น่าสงสารหน่อยดังนั้นถ้ามีลูกแมวตัวเดียวแสงไฟก็คงจะช่วยได้พอสมควร แต่ถ้าเห็นว่าอุณภูมิของห้องไม่หนาว การใช้แสงไฟก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไร บางครั้งลูกแมวเปอร์เซียที่คลอดในขณะที่เจ้าของไม่อยู่บ้าน เมื่อเจ้าของกลับมาเห็นลูกแมวบางตัวก็ตัวเย็นมาก บางครั้งในห้องนั้นยังเปิดแอร์อีก แต่ลูกแมวตัวนั้นก็รอดมาได้และเติบโตอย่างแข็งแรงก็มีเยอะไป เหมือนธรรมชาติสั่งมาแล้วว่าต้องการให้ตัวไหนอยู่หรือไปภายในไม่กี่วันก็รู้แล้ว ดังนั้นลูกแมวเปอร์เซีย ถ้าตัวไหนแข็งแรง 90% ก็จะรอด แต่ถ้าตัวไหนไม่แข็งแรง มีแค่ 10% เท่านั้นที่รอด เพียง 3 วันเท่านั้นก็รู้ผลแล้วว่าจะรอดซักกี่ตัว
หัวนมของแม่แมวเปอร์เซีย ก็เป็นตัวกำหนดซะตากรรมของลูกแมวเปอร์เซีย มันเป็นธรรมชาติมากที่ลูกแมวเปอร์เซียร์ จะจดจำเต้านมแม่ที่มันดูดได้ แต่ก็จะเป็นข้อเสียได้และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกแมวเปอร์เซียที่คลอดลูกออกมาหลายๆตัวอาจจะมีการตายเกิดขึ้นได้ สาเหตุเพราะว่าหัวนมของแม่แมวเปอร์เซียมันไม่ได้มีน้ำนมดีทุกเต้าบางเต้ามันเป็นไตซึ่งถ้าลูกแมวไปดูดตรงเต้านี้ก็อาจจะทำให้ท้องเสียได้ หรือมีน้ำนมน้อยทำให้ลูกแมวเปอร์เซียได้รับนมไม่เต็มที่ซึ่งจะทำให้มันโตได้ไม่เต็มที่ หรือตรงเต้านั้นไม่มีน้ำนมทำให้ลูกแมวเปอร์เซียไปดูดเต้านี้ได้รับแต่ลมซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อ และบางเต้าของแม่แมวเล็กบ้างใหญ่บ้าง ลูกแมวเปอร์เซียงับกินนมไม่สะดวก ถ้ามีลูกแมวเปอร์เซียเกิดออกมาหลายตัว ผู้เลี้ยงจะต้องสำรวจเต้านมแม่แมวเปอร์เซียเพื่อให้การกระจายการดูดนมเป็นไปอย่างทั่วถึงในช่วง 3 วันแรก และหมั่นสลับให้ดูดเต้าที่มีน้ำนมไหลมากที่สุดให้กับลูกแมวที่เราเห็นว่าตัวเล็กสุด เพราะว่าสุดท้ายแล้วลูกแมวเปอร์เซียก็จะแย่งกันดูดนมที่เต้าประจำของพวกมัน ให้สังเกตว่าตัวไหนที่เราจับไปให้ดูดนมที่เต้าไหนก็ได้แล้วมันไม่เลือกดูดหรือพูดกันง่ายๆก็คือมันดูดไม่เลือกเต้า ลูกแมวเปอร์เซียตัวนี้จะมีเปอร์เซ็นรอดตายสูง แต่ถ้าตัวไหนดูดเองไม่ค่อยเป็นหาเต้านมไม่ค่อยเก่ง จับไปจ่อตรงเต้านมแล้วยังไม่งับหัวนม ก็ขอให้เฝ้าอย่างใกล้ชิดเพราะเราจะเสียลูกแมวเปอร์เซียตัวนี้ไปได้ ถ้าเราสังเกตดีๆส่วนใหญ่ถ้าแม่แมวเปอร์เซียคลอดลูกออกมาไม่เกิน 3-4 ตัว เปอร์เซ็นการรอดตายของลูกแมวจะมีสูง เหมือนธรรมชาติจะบอกว่าตัวแข็งแรงที่สุดเท่านั้นจึงจะอยู่รอด การที่จะทำให้ลูกแมวเปอร์เซียมีอัตราการเสียชีวิตลดต่ำก็คือในช่วง 3 วันแรกของการคลอดที่จะต้องหมั่นเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดพยายามให้ดูดนมแม่ให้ได้ทุกตัว และให้สังเกตเลยว่าเต้านมไหนที่ลูกแมวเปอร์เซียแย่งกันดูดเยอะๆ ก็พยายามให้ตัวที่แย่งดูดไม่เก่งได้เป็นตัวที่ดูดบ้างและให้ตัวที่ดูดนมเก่งไปดูดที่เต้าอื่นเพื่อกระตุ้นเต้านั้นๆไปในตัว พยายามบีบนมทุกเต้าดูเพื่อดูว่าแต่ละเต้ามีนมหรือเปล่าเต้าไหนที่น้ำนมเยอะเวลาบีบเบาๆมันจะมีน้ำนมออกมาเลย และการกระตุ้นเต้าของแม่แมวเปอร์เซียก็ทำได้โดยการเอาสำลีจุ่มน้ำอุ่นแล้วไปคลึงๆบริเวณเต้านมก็จะช่วยกระตุ้นได้โดยเฉพาะเต้าที่มันเป็นไตแข็ง

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การเลี้ยงดูปลามังกร
1. การเตรียมตู้  การเลี้ยงปลามังกรนั้นผู้เลี้ยงต้องคำนึงถึงเรื่องตู้เป็นอันดับแรก  มาตรฐานขั้นต่ำที่ใช้เลี้ยงนั้นคือ 60*24*24 นิ้ว หรือ ประมาณ 150*60*60 ซม. จะสามารถเลี้ยงจากขนาดเล็กที่มีขายตามร้านค้าทั่วไปจนถึง    ขนาด 24 นิ้ว จะสามารถทำให้ท่านเลี้ยงได้ประมาณ 4-5 ปี แล้วจึงค่อยขยับขยายแต่หากท่านที่มีเนื้อที่
ค่อนข้างจำกัดจริงๆก็สามารถเลี้ยงได้ตลอดไป แต่กระจกที่ใช้ควรจะหนาประมาณ 3 หุน ขึ้นไป และ ในกรณีที่พอมีเนื้อที่ในด้านกว้างที่พอจะเพิ่มได้ควรจะกว้างอย่างน้อย 30 นิ้ว หรือ 75 ซม. สูง 36 นิ้ว แต่จะให้ดีก็ กว้าง 36 นิ้ว หรือ 90 ซม. สูง 36 นิ้ว ไปเลยก็จะดี ปลาขนาดใหญ่จะได้ไม่เครียด”( ที่สำคัญอย่าลืมเผื่อกันกระโดดด้วย ประมาณ 4-6 นิ้ว แล้วแต่ขนาดของปลา ) ที่ผมแนะนำอย่างนี้ก็เพื่อผู้เลี้ยงจะไม่ต้องเปลืองสตางค์ซื้อตู้บ่อยๆ แล้วตู้ที่ไม่ได้ใช้เกะกะเต็มบ้านจนต้องยอมขายถูกๆหรือไม่ก็ยกให้ใครไปฟรีๆ แต่ปัญหาที่พบบ่อยปลาเล็กในตู้ขนาดใหญ่ คือ ตื่นกลัว  ทำให้การว่ายไม่สง่า  ครีบลู่  วิธีแก้คือ หาแท้งค์เมท มาเพิ่มสัก 2-5 ตัว แล้วแต่ขนาดของตู้ ปลาที่ผมอยากจะแนะนำได้แก่ ปลานกแก้ว เป็นตัวหลัก เพราะ เป็นปลาที่ไม่มีข้อเสีย เลย แถมยังข้อดีเพียบ  แต่ ไม่ควรใส่จนเยอะเกินไป หรือ นำนกแก้วที่มีขนาดใหญ่กว่าปลามังกรใส่ลงไป  ก็จะสามารถแก้อาการตื่นกลัวได้ หากไม่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ปลาตื่นกลัว เช่น เด็กชอบมาทุบกระจก หรือ ตู้ปลาอยู่ตรงทางเดินที่มีคนพลุกพล่าน  เป็นต้น
ในกรณีท่านที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเนื้อที่  เมื่อปลาได้ขนาด 16 –18 นิ้วแล้วจึงย้ายปลาไปอยู่ในตู้ที่ใหญ่ขึ้น  จะทำให้ปลาที่ท่านเลี้ยงโตขึ้นโดยไม่สะดุด  และการว่ายจะไม่มีปัญหา  และปลาจะไม่เกิดความเครียด
 เมื่อท่านเลือกขนาดตู้ที่เหมาะสมแล้วนั้นการเลือกระบบการกรองชีวภาพ และรายละเอียดปลีกย่อยทุกอย่างล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น
2. น้ำที่ใช้เลี้ยงปลา จะต้องเป็นน้ำที่ปราศจากคลอรีน  บางท่านอาจจะใช้การพักน้ำให้คลอรีนระเหยบ้าง  ใช้เครื่องกรองน้ำบ้าง  ( ข้อควรระวัง ห้ามใช้เครื่องกรองที่มีวัสดุกรองเป็นเรซินหรือเครื่องกรองน้ำที่ใช้ดื่ม  วัสดุกรองที่ใช้กรองคลอรีนจะต้องเป็นถ่านกะลาเท่านั้น  หากใช้คาร์บอนชนิดอื่นอาจทำให้น้ำเป็นด่างสูงเป็นอันตรายต่อปลาได้ ) คุณภาพน้ำที่ใช้เลี้ยงปลามังกรนั้นค่อนข้างสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากให้ผมแนะนำการที่จะได้มาซึ่งคุณภาพน้ำสูงสุดนั้น ควรใช้น้ำปะปาแล้วต่อเครื่องกรองคลอรีนแล้วนำน้ำไปพักให้ตกตะกอนหากน้ำที่พักทิ้งไว้เป็นเวลาหลายวันควรมีหัวทรายตีน้ำไว้เพื่อคงระดับออกซิเจนในน้ำเพื่อป้องกันน้ำเสีย  จะทำให้ท่านได้น้ำที่ปราศจากคลอรีน ใสไม่มีตะกอน และมีออกซิเจนสูง อุณหภูมิน้ำในตู้บริเวณผิวน้ำควรอยู่ระหว่าง 30-34 องศาเซลเซียส น้ำที่ต้องห้ามใช้เลี้ยงปลามังกร ได้แก่  น้ำที่มีสารเคมีทุกชนิดปนอยู่  น้ำที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง  น้ำฝน  น้ำบาดาล  น้ำสกปรก คือน้ำที่มีออกซิเจนละลายอยู่ในปริมาณต่ำ 
3. อาหาร ที่ใช้เลี้ยงปลามังกรก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งมีผลโดยตรงกับการเจริญเติบโตของปลา รวมถึงรูปทรงและสีสันของปลา  อาหารที่ใช้เลี้ยงได้แก่  แมลงเกือบทุกชนิด ลูกปลา หนอน ไส้เดือน กบ กุ้งฝอย เนื้อกุ้ง  รวมทั้ง อาหารเม็ด การให้อาหารปลามังกรนั้นไม่จำกัดตายตัว ว่าจะต้องกินอย่างไร ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ ความสะดวกของผู้เลี้ยง และอุปนิสัยการกินของปลาประกอบเข้าด้วยกัน แต่ที่ผมจะแนะนำคือ ปริมาณอาหารที่ให้ในแต่ละวันนั้นจะต้องไม่มาก หรือน้อยเกินไป โดยส่วนมากแล้วเมื่อปลาอิ่มจะไม่สนใจอาหารแล้วเชิดหน้าใส่ ยกเว้นจะเป็นของที่โปรดปรานจริงๆจึงจะฝืนกินจนพุงกางบางท่านชอบทำแบบนี้แล้วชอบใจว่าปลาของเรากินเก่ง แต่ผลเสียก็คือ ปลาของท่านจะเป็นโรคอ้วน เสียทรง ตาตก เพราะอาหารที่พวกมัน โปรดปรานส่วนใหญ่หนีไม่พ้นอาหารที่มีไขมันสูง อันได้แก่ หนอนนก  หนอนยักษ์  จิ้งหรีด  กบ  ตะพาบ  ซึ่งอาหารจำพวกนี้ควรควบคุมปริมาณที่ให้ในแต่ละวัน  แต่จะงดไปเลยก็ไม่ดี เพราะจะทำให้ปลาท่านไม่โต หรือโตช้า เนื่องจากอาหารจำพวกนี้จะอุดมไปด้วยโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการเจริญเติบโต การให้อาหารที่ดีนั้น ท่านควรสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆเพื่อสุขภาพปลาของท่านจะแข็งแรงมีภูมิต้านทานสูง เหมือนกับคนเราที่ได้รับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้
  เดือนมกราคม     หนอนนก   กุ้งฝอย  ลูกปลา
  เดือนกุมภาพันธ์   หนอนยักษ์   กุ้งฝอย  ลูกกบ
  เดือนมีนาคม    จิ้งหรีด  กุ้งฝอย  เนื้อกุ้ง
  เดือนเมษายน   ตะขาบ  กุ้งฝอย  ลูกตะพาบ
  เดือนพฤษภาคม   แมลงป่อง  กุ้งฝอย  จิ้งจก
  เดือนมิถุนายน  ก็กลับหมุนเวียนเอาของเดือนมกราคมขึ้นมาใหม่  เป็นต้น
  หรือ   จะเอาทุกอย่างมาสับเปลี่ยนหมุนเวียนในแต่ละวันก็ได้   แต่อาหารที่มีทั่วไปหาซื้อง่าย  ได้แก่  หนอนนก  กุ้งฝอย  เนื้อกุ้งสด  ลูกปลา  จิ้งหรีด  ลูกกบ  อาหารที่ไม่แนะนำให้ใช้กับปลามังกรได้แก่  แมลงสาบ ถ้าท่านไม่ได้เพาะพันธ์เองไม่ควรใช้   เนื้อหมู หรือ เนื้อวัว  จะทำให้ย่อยยาก อาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับลำไส้  หรือเมื่อใช้เลี้ยงไปนานๆปลาของท่านอาจจะตายโดยไม่รู้สาเหตุ เพราะในเนื้อหมูหรือเนื้อวัวนั้นจะมีพยาธิบางชนิดค่อยๆกัดกินอวัยวะภายในจนตาย เนื่องจากมันไม่ใช่อาหารของมันตามธรรมชาติ  จึงไม่มีกลไกภายในร่างกายสามารถป้องกันได้

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติปลามังกร



ปลาอะโรวาน่า นับว่าเป็นสุดยอดปลาสวยงามที่ ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดมา โดยตลอดซึ่งอาจจะ เป็นเพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีรูปร่างสวยงามน่า เกรงขามมีเกล็ดขนาดใหญ่และมีสีสีนแวววามมี หนวดซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จะคล้าย"มังกร" นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเชื่อต่างๆ เข้ามาเกี่ยว ข้องกับปลาอะโรวาน่าโดยชาวจีนเชื่อว่าผู้ใดเลี้ยง ปลาชนิดนี้แล้วจะร่ำรวยมีโชคลาภ จึงทำให้ปลา ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด จึงส่งผลให้ราคาปลาดังกล่าวมีราคาค่อนข้างสูง สำหรับปลาอะโรวาน่าเกือบทุก สายพันธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์จากทวีปเอเชีย จากการศึกษาตามประวัติของปลา ชนิดนี้พอที่จะทราบได้ว่ามีการขุดค้นพบซากฟอลซิลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จึงทราบว่าปลาอะโรวาน่าจัดเป็นปลาโบราณอยู่ในตระกูล "Osteoglossidae" ซึ่งเป็นตระกูลของปลา ที่มีลิ้นเป็นกระดูกแข็ง Bony Tougue ปลาชนิดนี้พบ กระจายอยู่ใน 4 ทวีป ทั่วโลก คือ ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปอัฟริกา และทวีป ออสเตรเลีย โดยปลาที่มาจากแต่ละทวีปจะมีรูปร่างลักษณะเด่นพิเศษที่แตกต่างกัน ตามไปด้วย โดยเฉพาะปลาที่มาจากทวีปเอเชีย เป็นปลาที่มีราคาแพงมากที่สุด สายพันธุ์อเมริกาใต้ อะโรวาน่า ปลาตะพัด หรือปลามังกร เป็นปลาที่จัดอยู่ในตระกูล Osteoglos Sidae (ออสที โอกลอสซีดี้) ปลาในตระกูลนี้พบแพร่กระ จายอยู่ทั่วโลก โดยมีลักษณะภายนอกที่แตกต่าง กันและผันแปรไปตามแหล่งที่สามารถพบได้ แบ่ง ได้ 4 สกุล(Genus) และ มีอีก 7 ชนิด(Specises) ด้วยกัน คือ ทวีปอเมริกาใต้ 3 ชนิด ทวีปออสเตเลีย 2ชนิด ทวีปอัฟริกา 1 ชนิด ทวีปเอเบียอีก 1 ชนิด (4 สายพันธุ์) ซึ่งแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดแตกต่างกันออกไปดังนี้

1. กลุ่มทวีปเอเชีย

2. กลุ่มทวีปอเมริกาใต้

3. กลุ่มทวีปแอฟริกา

4. กลุ่มทวีปออสเตรเลีย และนอกจากนั้นลักษณะสีของลำตัว หัวและครีบ ของปลา อะโรวาน่าก็มีสีแตกต่างกันออกตามสาย พันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 สายพันธุ์

ถิ่นกำหนด

ปลาอะโรวาน่าหรือปลาตะพัดเป็นปลาที่จัดอยู่ในครอบครัว Osteoglossidae (ออสทีโอกลอสซิดี้) ปลาในตระกูลนี้หากจัดแบ่งตามแหล่งที่อยู่อาศัยหรือเขตุภูมิภาคที่พบซึ่งเป็น ที่ยอมรับของสากลจะแบ่งออกเป็น 4 สกุล
(Genus) และมี 7 ชนิด (Species) คือ

ทวีปอเมริกาใต้ 3 ชนิด

ทวีปออสเตรเลีย 2 ชนิด

ทวีปอัฟริกา 1 ชนิด

ทวีปเอเซีย 1 ชนิด (4 สายพันธุ์)
ที่มา http://xn--12cara3hpbehgnd9lfg4b4m4f.blogspot.com/

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กุ้งเครฟิชที่มีขายในประเทศไทย


Cherax Albidus.
ชื่อไทย : บลูเพิร์ล [Blue Pearl]
ถิ่นกำเนิด :: Australia
ขนาดโตเต็มที่ :: 6-8 นิ้วโดยประมาณ (ยังไม่เคยมีใครใหญ่เกิน6 นิ้ว อาจโตได้ถึง 1 ฟุต)
อายุ : ประมาณ 4-8 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 2-3 ปี  ( ยังไม่มีคนเลี้ยงเกินเต็มที่ 2 ปี )
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 18-26 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'
    
       บลูเพิร์ล เป็นกุ้งชนิดหนึ่งที่ผู้เลี้ยงหลายคนนั้นหวังอยากได้ครองครอง จะเรียกได้ว่าเป็น สุดยอดของกุ้งเครฟิช ในประเทศไทย เลยก็ว่าได้ บลูเพิร์ลนั้นเป็นกุ้งที่เลี้ยงน้ำค่อนข้างเย็น ก้าวร้าวเล็กน้อย ลักษณะที่สังเกตุได้ชัดคือสีเปลือก จะมีสีฟ้า จนฟ้าเข้ม ก้ามหนา ใหญ่ ข้อก้ามขาว ตาดำสนิท แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้กุ้งนั้นสามารถปรับสภาพให้เข้ากับประเทศไทยแล้ว และผู้เลี้ยงกุ้งส่วนใหญ่แทบจะเกือบทุกคนก็มีกุ้งไว้ในครอบครองแล้ว

      *** สำหรับท่านได้อยากได้มาครองครองละก็ สามารถติดต่อสอบถาม วิธีการเลี้ยง การดูแลกุ้ง อาหารต่างๆได้ที่คุณ Yabby House นะครับ หรือเข้าไปได้ที่ http://www.bluepearlthailand.com/

Cherax Destructor.
ชื่อไทย : เดสทรัคเตอร์ [Des]
ถิ่นกำเนิด :: Australia
ขนาดโตเต็มที่ :: 6-8 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 6นิ้ว อาจโตได้ถึง 1 ฟุต)
อายุ : ประมาณ 4-8 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 2-3 ปี  ( ยังไม่มีคนเลี้ยงเกินเต็มที่ 2 ปี )
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 20-26 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-28 C'

      เดสทรัคเตอร์ กุ้งที่หลายๆคนที่เลี้ยงกันอยู่ขณะนี้ เข้ามาในประเทศได้ไม่นานก็สามารถเพาะพันธุ์ได้ และมีขายทั่วไป เป็นกุ้งที่ถือว่าทน และมีความคล้ายคลึงกับ บลูเพิร์ล แต่ต่างกันตรงที่มีหลากหลายสี ตั้งแต่น้ำเงินเข้ม น้ำตาลไหม้ น้ำตาลเขียว น้ำตาลกาแฟ สีดำ ขาว ฯลฯ ซึ่งสีเหล่านี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ ข้อก้ามสีแดง กินเก่ง ดุ ก้าวร้าว อาหารกินทุกอย่าง
      ส่วนของสีที่นักเลี้ยงหลายคนต้องการนั้น มักจะเป็นสี น้ำเงิน เพราะมีความคล้ายคลึงกับ บลูเพิร์ล จึงทำให้มีการหลอกขายกุ้ง เดสทรัคเตอร์ว่า เป็น บลูเพิร์ล และอีก 2 สีที่มีการออกมาหลอกขายเช่นกันคือ ขาว และ ดำ ซึ่งกุ้งภายในประเทศจะมีน้อยมากที่จะ ดำสนิม หรือ ขาวสนิท ในประเทศพบว่า กุ้งทั้ง ดำ และ ขาว ไม่ใช่ของแท้ จึงอยากให้ผู้ที่เลือกชื้อใช้วิจารณญาณในการเลือกชื้อและเลือกร้านที่น่าเชื่อถือได้


   *** สำหรับท่านได้อยากได้มาครองครองละก็ สามารถติดต่อสอบถาม วิธีการเลี้ยง การดูแลกุ้ง อาหารต่างๆ ได้ที่คุณ JO Destructorนะครับ หรือเข้าไปได้ที่กระทู้นี้ http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?PHPSESSID=cinf9n77deqqjgp50bqib5u7o4&topic=113849.0 มีกุ้งเดสทรัคเตอร์มากมายให้เลือกครับ

 
ความแตกต่างระหว่างบลู เพิร์ล กับเดสทรัคเตอร์ เพื่อแยกทั้ง 2 ตัวนี้ ติดตามได้ในกระทู้นี้ครับ http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?PHPSESSID=cinf9n77deqqjgp50bqib5u7o4&topic=135236.0


Cherax Quadricarinatus.

ชื่อไทย : เรนโบว์,บลูล็อปเตอร์,ก้ามแดง
ถิ่นกำเนิด :: ออสเตรเลีย
ขนาดโตเต็มที่ :: 12 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 8 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 2-3 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

     Cherax Quadricarinatus.เป็นกุ้งชนิดแรกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย
โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้นำมาทดลองเลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร เป็นกุ้งที่มีการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างเร็วและมีขนาดที่ใหญ่ ลักษณะเด่นคือ เป็นกุ้งที่มีขนาดใหญ่ สีของกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่สีที่พบมากที่สุดคือ สีเขียว สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน ซึ่งคนไทยเรียกกันว่า บลูล็อป และที่เด่นอีกอย่างคือ แถบด้านข้างของก้ามที่มีสีแดง สีส้ม เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของกุ้งตัวนี้ ซึ่งจะพบแถบสีที่บริเวณก้ามของเพศผู้เท่านั้น แต่ในเพศเมียนั้นจะไม่มีแถบสี กุ้งชนิดนี้เลี้ยงง่ายและมีการปรับตัวให้เข้าต่อสภาพแวดล้อมที่รวดเร็ว ทนต่อทุกสภาพอากาศ และในกลุ่มผู้เลี้ยงกุ้งนั้นมักจะเลี้ยงกุ้งชนิดนี้เป็นชนิดแรกเพราะ เลี้ยงง่าย และ ราคาถูก หาชื้อได้ตามร้านทั่วไปที่มีกุ้งเครฟิชขาย แต่ปัจจุบันกุ้งตัวนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเหมือนแต่ก่อน เพราะมีการขยายพันธุ์ที่รวดเร็วแต่ราคาถูกจึงทำให้หลายๆคนนั้นเห็นว่าเป็นกุ้งที่ไม่ค่อยมีค่าสักเท่าไหร่ ขนาดที่ว่าถึงกับแจกกันเลยทีเดียว ถ้าไม่เคยเลี้ยงก็ไม่รู้หรอกครับว่ากุ้งตัวนนี้ก็น่าเลี้ยงเช่นกัน  


Cherax Peknyi.
ชื่อไทย : ม้าลาย [Zebra]
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-6 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 5 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 2-3 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

   Cherax peknyi หรือ กุ้งม้าลายเป็นกุ้งสาย C ตัวแรกๆที่มีการนำเข้ามาในประเทศไทย  เป็นกุ้งที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย กุ้งที่มีลายเป็นปล้อง ดำขีดขาวเหมือนกับม้าลาย และมีสีส้มเหลือบๆ แต่ในต่างประเทศเรียกกว่ากุ้งเสือ เพราะมีลายพาด มีนิสัยที่ค่อนข้างก้าวร้าว ชอบหลบ ก้ามขนาดใหญ่ ทั้งแถบขาว และแถบฟ้าผสมเทา กุ้งส่วนมากที่พบในประเทศไทยจะเป็นกุ้งที่นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย และมีวางขายอยู่ทั่วไป การเพาะพันธุ์นั้นมีค่อนข้างน้อยเพราะสีสรรไม่ค่อยเป็นที่ต้องการของของกลุ่มนักเลี้ยงเท่าที่ควร

Cherax holthuisi.
ชื่อไทย : แอปปิค็อต
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-6 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 4 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 1-2 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

   Cherax holthuisi กุ้งที่มีสีส้มทั้งตัว คล้ายๆ แคร็อต แต่ในประเทศไทยมีการนำเข้ามาจาก อินโิดนีเซีย ซะส่วนมาก กุ้งที่นำเข้ามามีทั้งสี ส้มเข้ม และส้มอ่อนๆ ในช่วงที่ผ่านมา มีเข้ามาสีของกุ้งนั้นเข็มมาก จึงมีการตั้งชื่อใหม่ว่า ไฟเรด ซึ่งหลายๆคนก็ งง ว่าเป็นกุ้งตัวใหม่ที่เข้ามาทำให้ถูกหลอกขายในราคาที่สูง การเจริญเติบโตนั้นช้ามาก และเลี้ยงยาก เพราะเป็นกุ้งที่ชอบหลบ

Cherax Sp.
Cherax Sp.Red Brick.(New Red)


ชื่อไทย : นิวเรด
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-8 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 5 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 1-2 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

     Cherax Sp.Red Brick.(New Red)กุ้งอีกตัวที่เป็นที่นิยมกันของกลุ่มผู้เลี้ยงเนื่องจากเป็นกุ้งที่มีสีแดงเลือดหมู และมีน่าสนใจในการเลี้ยงเป็นอย่างมาก โดยลักษณะเด่นของกุ้งตัวนี้คือ ลำตัวมีสีแดงเลือดหมูทั้งตัว ก้ามมีขนาดใหญ่ และแถบของก้ามนั้นมีสีขาวหรือสีครีม แต่กุ้งชนิดนี้จะมี 2 แบบ คือ กุ้งที่แดงทั้งตัว กับกุ้งที่แดง แค่หัวแต่ตัวจะออกเขียวๆผสมเทา ซึ่งหลายคนนั้นเรียกว่า อิเรี่ยนไทเกอร์ หรือ บลูบริก แต่ความจริงแล้มันคือตัวเดียวกันที่มีกาีรผสมกับสายพันธุ์อื่น แต่บางตัวเมื่อลอกคราบมาก็แดงทั้งตัว แต่บางตัวลอกคราบมาแดงไม่สม่ำเสมอทั้งตัว จึงทำให้มีการเข้าใจกันผิดว่าไม่ใช่ นิวเรด ของจริง และคนส่วนมากมักคิดว่ามันมีแค่สีแดงอย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นปัญหาไประหนึ่งจนมีการยืนยันตัวตน

Cherax Sp.Blue Moon.

ชื่อไทย : บลูมูน
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-6 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 5 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 1-2 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

   Cherax sp. Blue Moon กุ้งบลูมูน กุ้งตัวสีน้ำเงินเข้มผสมเทา มีจุดขาวผสมบริเวณลำตัว ทำให้มองดูเหมือนดาวบนฟ้าตอนกลางคืน ก้ามสีน้ำเงินเข้ม ขอบก้ามครีม ขาสีน้ำเงิน ปลายหางสีส้มหรือเหลืองเป็นกุ้งที่สวยงามมากอีกตัว ที่มาจากแถบ ปาปัวนิวกินี แถบ อีเรียจายา แต่ในประทเศไทย สีของกุ้งลดลงไปมาก และการเลี้ยงค่อนข้างยากเพราะเป็นกุ้งนำเข้า ในหลายๆตัว จะกินปกติ แต่หลายตัวไม่ค่อยกิน อัตราการลอกคราบนั้นถือว่าต่ำมาก

Cherax Sp.Orange Tip.


Cherax Sp.Irian Jaya.

ชื่อไทย : อิเรี่ยน จาย่า
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-6 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 5 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 1-2 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

   Cherax sp"Hoa Creek" ( Iran Jaya) กุ้งอีเรียน จายา เป็นกุ้งที่ลำตัวมีสีน้ำเงินเข้ม หลังชมพูม่วง ก้ามใหญ่ สีน้ำเงินเข้ม มีแถบทีครีมที่ขอบก้าม แต่ในบางตัวนั้นอาจมีสีอื่นที่หลากหลาย ในต่างประเทศเรียกกุ้งชนิดนี้ว่า กุ้ง 7 สี หรือ กุ้งเรนโบว์ เพราะใน 1 ตัวนั้นมีสีที่ไม่ค่อยซ้ำกัน สำหรับกุ้งตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่มีขายทั่วไปในตลาด และยังหาชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะ กุ้งนอก แต่ลูกใน นั้น การขยายพันธุ์ยังมีน้อยมาก

Cherax Sp.Tri-Color.

ชื่อไทย : ไตรคัลเลอร์
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-6 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 5 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 1-2 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

Cherax Sp.Tri-Color. เป็นกุ้งอีกตัวที่มีสีสันนั้นไม่ค่อยแน่นอนซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมถึงเรียกว่าไตรคัลเลอร์ เพราะว่ามี 3 สีหรืออย่างไร ทั้งๆ ที่กุ้งตัวนี้ สี ก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน แต่ในช่วงแรกที่มีการนำเข้ามานั้น หัวและลำตัวนั้นมีสีน้ำตาล ก้ามมีสีน้ำเงิน และ ปลายหางนั้นสีส้ม แต่ปัจจุบัน นั้นมันมากกว่า 3 สี แต่ก็เรียกว่า ไตรคัลเลอร์

Cherax Sp.Orange Tail.

ชื่อไทย : ออเร้นเทล เพอเพิล
ถิ่นกำเนิด :: แถบ ปาปัวนิวกินี และ อีเรียจายา
ขนาดโตเต็มที่ :: 5-6 นิ้วโดยประมาณ (ใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น 4 นิ้ว)
อายุ : ประมาณ 4 ปี ในธรรมชาิติ ในตู้ ประมาณ 1-2 ปี
อุณภูมิในการเลี้ยง  :: 25-28 C' ในบ้านเราเลี้ยงกันที่ 26-30 C'

Cherax Sp.Orange Tail.เป็นกุ้งเจ้าปัญหาอีกตัวที่นำเข้ามาแล้วเกิดข้อสงสัยว่ามันคืออะไร การนำเข้ามาช่วงแรกนั้น ก้าม หัว ลำตัว นั้น มีสีดำ และกางมีสีส้ม แต่เมื่อนำเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย นั้น ออก เป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน สีม่วง เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือเค้าเดิม เลยทำให้มีการตั้งชื่อใหม่ จาก ออเร้นเทล เป็น เพอเพิล  

  http://aqua.c1ub.net/forum/lite.php?topic=136009.0

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กุ้งเครย์ฟิช สัตว์น้ำยอดฮิตชนิดใหม่ของวัยรุ่น

กุ้งเครย์ฟิช สัตว์น้ำยอดฮิต



กุ้งยอดฮิต เครย์ฟิช สัตว์น้ำชนิดใหม่ของวัยรุ่น (เทคโนโลยีชาวบ้าน)
โดย สิริพร ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
คอลัมน์ สัตว์น้ำน่าเลี้ยง

           กุ้งเครย์ฟิช กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวัยรุ่นที่ชอบเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามไปซะแล้ว ด้วยความที่มีสีสันหลากหลายสวยงาม และเป็นสัตว์น้ำที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม เลี้ยงง่าย กินซากพืชซากสัตว์เป็นอาหาร ราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันบาท ทำให้กลายเป็นที่นิยมกว้างขวางขึ้นในหมู่วัยรุ่น

           กุ้งเครย์ฟิช หรือกุ้งล็อบสเตอร์น้ำจืด มีถิ่นกำเนิดทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชียตะวันออก และออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 สายพันธุ์ มักอาศัยอยู่ตามโขดหินหรือใต้ขอนไม้ตามหนองน้ำ หรือลำธาร

           คุณวิโรจน์ ไชยกิตติรุ่งโรจน์ อายุ 28 ปี ผู้ที่เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์กุ้งเครย์ฟิช กล่าวว่า ขณะนี้มีความนิยมเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชในหมู่วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงปลาสวยงาม ที่กำลังมีความสนใจหันมาเลี้ยงกุ้งกันมากขึ้น เพราะมีความสวยงาม แปลกตา เลี้ยงง่าย ให้ความเพลิดเพลิน ไม่เป็นอันตรายกับผู้เลี้ยง

           "กุ้งเครย์ฟิช ได้รับความนิยมมาหลายเดือนแล้ว โดยมีผู้นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น มาเพาะขยายและจำหน่าย กุ้งเครย์ฟิชมีรูปร่างบึกบึนน่าเกรงขาม แต่ก็มีความคลาสสิค ซึ่งกุ้งแต่ละตัวจะมีสีสันที่โดดเด่นของตัวเอง หากมีการเลี้ยงดูและให้อาหารเป็นอย่างดี จะทำให้กุ้งขับสีในตัวออกมาชัดเจนสวยงามมากขึ้น" คุณวิโรจน์ กล่าว

           กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า

           สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยง กุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ท่อพีวีซีลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้

           ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา

           อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการ เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด

           กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชเป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน

           สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรีบริเวณขาเดินคู่ที่ 3

           กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้นสามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกิน อะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัยภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้กุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง

           ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารให้เพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง

           ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย

           การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญใน การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ

           อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่ากุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวณก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือกสองชั้นทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้

           "ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช ที่มีถิ่นกำเนิดต่างกันไว้ด้วยกัน เพราะพันธุ์ที่มีนิสัยก้าวร้าว จะจับพันธุ์ที่มีนิสัยเรียบร้อยกว่ากินเป็นอาหาร รวมทั้งควรเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน" คุณวิโรจน์ กล่าว

พร้อมกันนี้ คุณวิโรจน์ ยังบอกอีกว่า ไม่ควรเลี้ยง กุ้งเครย์ฟิช รวมกับปลาสวยงามที่อาศัยบริเวณก้นตู้ แต่สามารถเลี้ยงรวมกับปลาสวยงามขนาดกลางที่ว่ายบริเวณกลางน้ำหรือผิวน้ำได้ เป็นอย่างดี และต้องมีนิสัยไม่ดุร้าย มิฉะนั้น กุ้งเครย์ฟิช อาจกลายเป็นอาหารปลาได้

           กุ้งเครย์ฟิช ที่วัยรุ่นนิยมเลี้ยงคือ กุ้งเครย์ฟิช สโนไวท์ จะเป็นกุ้งสีขาว บลูสปอร์ตเป็นสีฟ้า ไบรต์ออเรนจ์สีส้ม และอะเรนนี่สีน้ำเงิน ราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดมีตั้งแต่ 300-2,000 บาท ต่อตัว แต่หากซื้อไปเลี้ยงเป็นคู่ โดยเฉพาะกุ้งเครย์ฟิชสีน้ำเงินหรืออะเรนนี่ จำหน่ายคู่ละ 3,500บาท เพราะสีน้ำเงินเป็นสีที่นิยมและหายากในขณะนี้

           สำหรับผู้อ่านที่สนใจเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช สามารถหาซื้อได้ตามตลาดสัตว์น้ำทั่วไป เมื่อต้องการเลือกซื้อมาเลี้ยงต้องดูความแข็งแรงของตัวกุ้งด้วย หากเห็นว่ากุ้งนั้นไม่ปราดเปรียวหรือเชื่องช้า ก็อย่าเลือกซื้อมาเลี้ยง เพราะเป็นกุ้งที่ไม่แข็งแรง ถ้านำมาเลี้ยง อยู่ได้ไม่นานก็อาจตายได้ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อกุ้งตัวที่มีสีเข้มทั้งตัว ไม่มีอาการเซื่องซึม ก้ามทั้ง 2 ข้าง ต้องเท่ากัน มีขาครบทุกข้าง และที่สำคัญอย่าลืมให้ความรัก ความใส่ใจกับสัตว์เลี้ยงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

อ้างอิง  http://pet.kapook.com/view1517.html